บทที่ 2
ประวัติศาสตร์การท่องเที่ยวจากยุคเริ่มต้น
ถึงช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
การท่องเที่ยวเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจสามารถจะสืบย้อนได้ไปถึงสมัยที่ยังมีอาณาจักร Babylonian และอาณาจักร Egyptian หลักฐานที่สนับสนุนการกล่าวอ้างนี้ก็คือ ได้มีการก่อตั้งพิพิธภัณฑ์โบราณวัตถุ (historic antiquities) ขึ้นเพื่อให้คนทั่วไปได้เข้าชมในนคร Babylon เมื่อประมาณ 2,600 ปีมาแล้ว ก็มีการจัดงานเทศกาลทางด้านศาสนาซึ่งดึงดูดทั้งผู้ที่มีความเลื่อมใสและผู้ที่เพียงอยากมาชมตึกราม สิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียงและผลงานทางด้านศิลปะในเมืองใหญ่ๆ ในอาญาจักรอียิปต์
นักท่องเที่ยวชาวกรีกมีการเดินทางเพื่อท่องเที่ยวเมื่อประมาณ 300 ปีก่อนครติสตกาล หรือ 2300 ปีมาแล้ว กรีกมีการปกครองในแบบนครรัฐ (City State) ที่เป็นอิสระต่อกัน จึงไม่มีผู้มีอำนาจปกครองส่วนกลางที่จะสั่งให้มีการสร้างถนน นักท่องเที่ยวส่วนมากจึงเดินทางทางเรือ ชาวกรีกเป็นอีกชาติหนึ่งที่ชื่นชอบงานเทศกาล เกี่ยวกับความเชื่อทางศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิจกรรมทางด้านกีฬา ในช่วง 500 ปีก่อนคริสตกาล กรุงเอเธนส์ เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญสำหรับนักท่องเที่ยวที่เข้ามาสถานที่สำคัญ เช่น The Parthenon และมีที่พักแรมประเภทต่าง ๆ
ชาวโรมันก็มีการเดินทางกันอย่างกว้างขวางตั้งแต่ 3000 ปีก่อนคริสตกาลเนื่องจากความกว้างใหญไพศาลของอาณาจักรโรมัน ชาวโรมันในกรุงโรมนิยมเดินทางไปพักร้อนยังบ้านพักร้อนบนภูเขา ซึ่งจัดว่าเป็นบ้านหลังที่สองของชาวโรมัน ความรู้เกี่ยวกับการก่อสร้างถนนทำให้ชาวโรมันที่เป็นคนชั้นสูง และคนชั้นกลางได้มีโอกาสเดินทาง วัฒนธรรมของจักรวรรดิโรมันทำให้เกิดวัฒนธรรมการท่องเที่ยวแบบมหาชน (Mass tourism) ในคริสต์ศตวรรษที่ 2 โรมถึงจุดสูงสุดของความรุ่งเรืองจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวที่สำคัญของชาวโรมันในยุคนั้น คือ กรีก ชาวโรมันนิยมเดินทางไปชมความสำเร็จทางศิลปวิทยาการของชาวกรีก
การพัฒนาทางด้านการสื่อสารอย่างรวดเร็วประกอบกับชัยชนะของชาวโรมันทำให้ การเดินทางมีมากขึ้น การมีถนนชั้นเยี่ยมและสถานที่พักแรม (Inns) ทำให้การเดินทางมีความปลอดภัย รวดเร็ว และสะดวกขึ้น
อาณาจักรโรมันล่มสลายลงใน คศ.476 หรือในตอนกลางคริวศตวรรษที่ 5 ทวีปยุโรปเข้าสู่ยุคกลาง (The Middle Age) หรือยุคมืด (Dark Age)
มัคคุเทศก์และคู่มือนำเที่ยวในยุคต้น ๆ
ความรู้ที่เรามีเกี่ยวกับการเดินทางในสมัยแรก ๆ มาจากข้อเขียนนักประวัติศาสตร์และนักเดินทางที่มีความสำคัญที่มีชื่อว่า Herodotus ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วง 484 ปีถึง 424 ปีก่อนคริสตกาล บันทึกของ Herodotus ทำให้เราทราบว่ามัคคุเทศก์ในสมัยนั้นความรู้เกี่ยวกับสถานที่และเรื่องราวต่าง ๆ ไม่เท่าเทียมกันมีความแตกต่างกันทั้งในด้านคุณภาพของข้อมูล และความถูกต้องของข้อมูล
หนังสือคู่มือนำเที่ยวปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อ 400 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งครอบคลุมแหล่งท่องเที่ยวในกรุงเอเธนส์ สปาร์ตา และเมืองทรอย นักเขียนเกี่ยวกับการท่องเที่ยวชาวกรีก ชื่อ Pausanias ได้เขียนหนังสือชื่อ Description of Greece ขึ้นในระหว่าง คศ.160 - 180 ซึ่งเป็นการวิจารณ์เกี่ยวกับสิ่งอำนวยความสะดวกและแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ
การท่องเที่ยวในยุคกลาง
ยุคกลางคือช่วงที่อยู่ระหว่าง คศ.500-1500 หรือเป็นช่วงที่ต่อจากการล่มสลายของอาณาจักรโรมัน แต่ก่อนจะเข้าสู่ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ ยุคกลางเรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่ายุคมืด ช่วงเวลาดังกล่าวถนนหนทางถูกปล่อยให้ทรุดโทรมเศรษฐกิจตกต่ำแต่ศาสนาจักรโรมันคาทอลิค ทำให้ผู้คนเดินทางกันในระยะทางสั้น ๆ วัยหยุดเริ่มเข้ามีบทบาทในชีวิตของผู้คน คำว่า Holiday มีที่มาจากคำว่า Holy days ศาสนาโรมันคาทอลิคเป็นผู้กำหนดช่วงเวลาการหยุดเพื่อการพักผ่อนให้กับผู้ที่ศรัทธาในศาสนา แต่สำหรับชาวคาทอลิคทั่วไปการหยุดเพื่อการพักผ่อน หมายถึงการหยุดพักจากการทำงาน ไม่ใช่การเดินทางไปไหนมาไหน
คนชั้นสูงและคนชั้นกลางนิยมเดินทางเพื่อการแสวงบุญ (Pilgrimage) เป็นการเดินทางที่ไกลขึ้นสำหรับผู้ที่เคร่งศาสนาสถานที่ที่ผู้เลื่อมใสนิยมเดินทางไปได้แก่เมือง Winchester เมือง Walsingham และเมือง Canterbury จนกวีชื่อ Chaucer นำมาแต่งเป็นนิทานชื่อ Canterbury's Tales
ปัญหาที่นักเดินทางในยุคกลางต้องเผชิญคือ โจรผู้ร้ายที่คอยดักปล้นนักเดินทางมัคคุเทศก์ในสมัยนั้นจึงต้องทำหน้าที่เป็นผู้นำทาง (Pathfinder) และเป็นทั้งผู้ปกป้องนักเดินทางด้วยมัคคุเทศก์ในสมัยนั้นจึงได้รับค่าจ้างสูง
นอกจากนักแสวงบุญแล้วในยุคกลางยังมีนักเดินทางประเภทนักผจญภัยซึ่งเดินทางเพื่อแสวงหาชื่อเสียงและโชคลาภ พวกพ่อค้าเดินทางเพื่อค้าขาย พวกละครเร่ นักร้องนักดนตรี ยังชีพอยู่ได้ด้วยการให้ความบันเทิงเปลี่ยนที่ไปเรื่อย ๆ
การพัฒนาการคมนาคมทางถนนในคริสศตวรรษที่ 17 ถึงต้นศตวรรษที่ 19
ในช่วงก่อนที่จะถึงศตวรรษที่ 16 คนที่ต้องการเดินทางมีวิธีที่จะทำได้ 3 วิธีคือ ด้วยการเดินเท้าซึ่งเป็นวิธีเดินทางของคนจน วิธีที่สองคือการขี่ม้า และวิธีสุดท้ายคือ ใช้เสลี่ยงโดยมีคนรับใช้เป็นผู้แบกซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีเดินทางของชนชั้นสูงเท่านั้น หรือไม่ก็ใช้เกวียนเทียมด้วยม้า
การพัฒนารถม้า 4 ล้อที่มีระบบกันสะเทือนด้วยสปริงนับเป็นความก้าวหน้าครั้งใหญ่ สำหรับคนที่จะเป็นต้องเดินทาง การประดิษฐ์รถที่มีระบบกันสะเทือนอย่างง่ายที่สุดสามารถสืบย้อนไปได้ที่เมือง Koce ในประเทศฮังการี ในศตวรรษที่ 15 และในต้นศตวรรษที่ 17 รถม้า ตู้ทึบชนิด 4 ล้อ ก็มีการวิ่งบริการในประเทศอังกฤษ ระหว่างกรุงลอนดอนถึงอ๊อกซฟอร์ด
ในศตวรรษที่ 18 มีระบบทางด่วนที่ผู้โดยสารต้องจ่ายค่าผ่านทางเกิดขึ้น โดยทีการปรับปรุงผิวการจราจรทำให้รถตู้ 4 ล้อ ลากด้วยม้าซึ่งบรรทุกคนได้ระหว่าง 8-14 คน วิ่งได้ถึง 40 ไมล์
ประมาณ คศ.1815 ถนนหนทางในทวีปยุโรปมรการพัฒนาดีขึ้น เป็นผลสืบเนื่องจากการค้นพบประโยชน์ของยางมะตอย (Tarmacadam) ทำให้การเดินทางเร็วขึ้น มีการพัฒนาโดยสารสาธารณะที่เรียกว่า Charabanc เป็นครั้งแรกในปี คศ.1832
แกรนด์ทัวร์ (Grand Tour)
ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมาได้เกิดการท่องเที่ยวในรูปแบบใหม่ขึ้นซึ่งเป็นผลมาจากเสรีภาพและความต้องการที่จะเรียนรู้ในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance) ยุคที่มีระยะเวลาประมาณ 300 ปี เริ่มต้นในราวคริสต์ศตวรรษที่ 15 และสิ้นสุดลงในราวศตวรรษที่ 17 โดยมีอิตาลีเป็นแหล่งกำเนิดและเป็นแบบฉบับให้ประเทศเพื่อนบ้านคือ ฝรั่งเศส เยอรมันนี ยุโรปเหนือและอังกฤษ ระหว่าง ค.ศ.1701 ถึง 1789 คนชั้นสูงชาวอังกฤษที่จะส่งบุตรชายออกเดินทางไปต่างประเทศพร้อมกับอาจารย์ผู้สอนประจำตัว (Travelling tutors) การเดินทางแบบนี้เรียกว่า Grand Tour การเดินทางซึ่งใช้เวลา 3 ปี จุดหมายปลายทางคือประเทศอิตาลี
ในปี ค.ศ.1749 Dr.Thomas Nugent ได้ตีพิมพ์หนังสือคู่มือการท่องเที่ยวออกมาเล่มหนึ่งให้ชื่อว่า The Grand Tour หนังสือเล่มนี้ส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยวเพื่อการศึกษามากขึ้น จุดประสงค์ของการเดินทางแบบ Grand Tour โดยเนื้อแท้แล้วเป็นการท่องเที่ยวเพื่อการแสวงหาความรู้ เมื่อถึงปลายศตวรรษที่ 18 ความนิยมในการเดินทางแบบนี้ก็กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ในศตวรรษที่ 19 มีการค้นพบแหล่งท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพได้แก่ บ่อน้ำแร่ (spas) และที่พักตากอากาศ ประเภทรีสอร์ทชายทะเล
สมัยคริสต์ศตวรรษที่ 18-19
สังคมเริ่มเปลี่ยนจากเกษตรกรรมมาเป็นอุตสาหกรรม เกิดการล่าอาณานิคมขึ้น ที่พักแรมได้รับการพัฒนามาจามลำดับ กลายมาเป็นโรงแรมแทนที่ inns ต่าง ๆ มีการโยกย้ายถิ่นฐานไปยังดินแดนใหม่ ๆ นอกยุโรป
มีการพัฒนาประดิษฐ์เครื่องจักรไอน้ำกับเรือกลไฟแบบกังหันข้างผสมใบ ทำให้เกิดการเดินทางได้เร็วขึ้น มีการพัฒนากิจการรถไฟและในปี ค.ศ.1841 โทมัส คุก (Thomus Cook) ได้จัดนำเที่ยวทางรถไฟแบบครบวงจรเป็นครั้งแรก ที่อังกฤษ ในขณะที่เฮนรี่ เวลส์ ก็จัดกิจการนำเที่ยวขึ้นในอเมริกาเช่นกัน
ยุคศตวรรษที่ 20
การท่องเที่ยวยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ความสะดวกสบายมีมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเดินทาง ที่พักแรม เงินตรา เอกสารการเดินทาง ผู้คนหันมานิยมการเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวมากขึ้น ทำให้การเดินทางด้วยรถไฟน้อยลง พัฒนาของอุตสาหกรรมการบิน ที่เริ่มขึ้นในยุโรปปี ค.ศ.1919 และเริ่มขนส่งผู้โดยสาร ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา ช่วงหลังสงครามโลก ผู้คนออกเดินทางท่องเที่ยวเพื่อเยี่ยมชมสถานที่สำคัญทางการสงคราม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น